วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วันพ่อของแต่ละประเทศ...ตรงกับวันที่เท่าไหร่บ้าง?




19 มีนาคม โบลิเวีย ฮอนดูรัส อิตาลี ลิกเตนสไตน์ แอนโดรา โปรตุเกส สเปน


5 พฤษภาคม โรมาเนีย


8 พฤษภาคม เกาหลีใต้
วันอาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายน ลิทัวเนีย


5 มิถุนายน เดนมาร์ก
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายน ออสเตรีย เบลเยี่ยม


วันอาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน อาร์เจนติน่า แอนทิกัว บาฮามัส บังกลาเทศ บัลแกเรีย แคนาดา ชิลี จีน โคลอมเบีย คอสตา ริก้า คิวบา ไซปรัส สาธารณรัฐเชก เอกวาดอร์ ฝรั่งเศส กาห์นา กรีซ กายอาน่าฮ่องกง ฮังการี อินเดีย ไอร์แลนด์ จาไมก้า ญี่ปุ่น มาเลเซีย มอลต้า มอริเชียส เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ ปากีสถาน ปานามา ปารากวัย เปรู ฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก เซนท์ วินเซนต์ แอนด์ เกรนาดีนส์ สิงคโปร์ สโลวาเกีย แอฟริกาใต้ ศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ ทรินิแดด แอนด์ โทเบโก ตุรกี สหราชอาณาจักร ยูเครน สหรัฐอเมริกา เวเนซูเอล่า ซิมบับเว บาร์เบโดส


17 มิถุนายน เอลเซวาดอร์ กัวเตมาลา


21 มิถุนายน ซีเรีย เลบานอน


23 มิถุนายน นิคารากัว โปแลนด์ อูกันดา


วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน ไฮติ


วันอาทิตย์ที่สองของเดือนกรกฎาคม อูรุกวัย


วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกรกฏาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน


วันอาทิตย์ที่สองของเดือนสิงหาคม บราซิล


8 สิงหาคม ไต้หวัน


วันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์


วันอาทิตย์ที่สองของเดือนกันยายน ลัทเวีย


วันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ลักเซมเบิร์ก


วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน เอสโทเนีย ฟินแลนด์ สวีเดน ไอซ์แลนด์


5 ธันวาคม ประเทศไทย (^__^)


ทีนี้เรามาดูดีกว่าว่าแต่ละประเทศเค้ามีประเพณีอะไรในวันพ่อบ้าง?



ประเทศอาร์เจนติน่า
วันพ่อของประเทศอาร์เจนติน่าจะเฉลิมฉลองกันในวันอาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่บิดาแห่งอาร์เจนติน่า "โจเซ่ เดอ ซาน มาร์ติน" ได้เป็นพ่อ

ไต้หวัน
ในไต้หวัน วันพ่อไม่ได้เป็นวันหยุดพิเศษ แต่หากลองสังเกตในวงกว้างแล้ว ในวันที่ 8 สิงหาคม ก็คือวันที่ 8 เดือน 8 ของปี ในภาษาจีนกลาง (แมนดาริน) เลข 8 จะออกเสียงว่า "ปา" ซึ่งเสียงนั้นก็จะไปพ้องกับคำว่า ปา ที่แปลว่า "พ่อ" (ปาป๊านั่นเองค่ะ) ดังนั้น ชาวไต้หวันจึงนิยมเรียกวันที่ 8 สิงหาคมว่า "ปาป๊า เดย์ (วันพ่อ)" ค่ะ

เยอรมนี
วันพ่อในเยอรมนีไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเหมือนกับวันพ่อในประเทศทางตะวันตกประเทศอื่น และที่นี่ไม่ได้เรียกวันพ่อว่าวันพ่อแต่มีคำอื่นที่มีความหมายเดียวกันใช้เรียกแทน

Vatertag มักนิยมเฉลิมฉลองกันใน Ascension Day (วันที่ 40 หลังวันอีสเตอร์ เป็นวันที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์) และถือเป็นวันหยุดประจำชาติ บางทีก็เรียกกันว่า Men's day หรือ Gentlemen's day (Männertag,Herrentag) จะมีประเพณีที่ผู้ชายเท่านั้นต้องทำ คือ ประเพณีเข็นรถขึ้นภูเขา (จะคล้ายเข็นครกขึ้นภูเขาไหมน้อ?) และในรถจะบรรจุไวน์หรือเบียร์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่นค่ะ)

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โมนาลิซา






โมนาลิซา(Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507)เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์(Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส







ที่มาของชื่อ
คำว่า'โมนาลิซา" นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)
คำว่า โมนา" (Mona) ในภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา(madonna) คุณผู้หญิง(my lady) หรือ มาดาม(Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ "มาดาม ลิซา" แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซา(Monna Lisa) แทน เนื่องจากภาษาอิตาลีคำว่ามาดอนนานั้น ส่วนมากจะใช้คำย่อว่า มอนนา (Monna)








ประวัติ
ภาพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2046 ถึง พ.ศ. 2050 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด
ในปี ค.ศ. 1516 (พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ
ในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 63 ปี

ในช่วงแรก ภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม

ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์
ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ. 2413 - 2414 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟรอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟร์กัน








พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส









พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดัง





ผู้สร้าง พระเจ้าฟิลิปป์ที่ 2 (พระราชวัง)


พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 (กำแพง)


พระเจ้าอองรีที่ 2 (ฝั่งตะวันตกและใต้)





ปิดท้ายด้วยภาพตอนกลางคืนอันสวยงาม

สิ่งที่น่าทึ่งคือพิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้ชมมากที่สุดในโลก มีผลงานกว่า 380,000 ชิ้น


วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Renaissance



Renaissance artistique

La Renaissance est une période de renouveau littéraire, artistique, et scientifique, qui se produisit en Europe par la diffusion de connaissances nouvelles parmi un milieu lettré.



Important

Un des aspects essentiels de la Renaissance en tant que période est le renouvellement des thèmes et de l'art en Europe après le Moyen Âge. Donner des bornes chronologiques précises pour ce mouvement artistique est difficile. Il est couramment admis que la Renaissance artistique commence en Italie au XVe siècle puis se diffuse dans le reste du continent, à des rythmes et des degrés différents selon la géographie. Elle se prolonge au XVIe siècle et atteint alors dans de nombreux pays son apogée. La Renaissance ne constitue pas un retour en arrière : les techniques nouvelles, le nouveau contexte politique, social et scientifique permettent aux artistes d'innover. Pour la première fois, l'art pénètre dans la sphère du privé : les œuvres ne sont plus seulement commandées par le pouvoir religieux ou séculier, mais entrent dans les maisons bourgeoises.

Humanisme et production artistique


Alors qu'au Moyen Âge la création artistique était essentiellement tournée vers la religion chrétienne, la Renaissance artistique utilise les thèmes humanistes (tolérance, liberté de pensée, paix, éducation visant l'épanouissement de l'individu, etc.) et de la mythologie antique. Le renouvellement de la réflexion philosophique fournit aux artistes de nouvelles idées : avec le néoplatonisme, l'Homme est au centre de l'univers. Les peintres et les sculpteurs n'hésitent plus à représenter la beauté des corps humains dénudés. L'étude des textes antiques, le renouveau de la philologie avec Lorenzo Valla, permettent aux architectes de s'affranchir du style gothique. Ils utilisent les enseignements de Pythagore et de Vitruve pour élaborer leurs plans. La pensée se libère progressivement des contraintes religieuses et se tourne vers les aspirations au bonheur, à la paix et au progrès. Les écrivains et les philosophes s'intéressent désormais à tous les domaines de la connaissance. Ils recopient et traduisent des manuscrits et recherchent des textes nouveaux. Ces idées renouvelées se diffusent sur le continent européen grâce à l'imprimerie et aux voyages des humanistes. Les premières bibliothèques sont crées telles que la Bibliothèque apostolique vaticane (vers 1450).

ประวัติของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา


หลังจากสงครามครูเสดอันยาวนานร่วม 300 ปีสิ้นสุดลง ยุโรปก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เนื่องจากมีการขุดค้นพบซากเมืองโบราณของกรีกและโรมัน ทำให้ยุโรปได้นำศิลปวิทยาการจากการขุดค้นพบมาปรับปรุง ดัดแปลงใหม่ ทำให้ยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทุกๆด้าน อาทิเช่น
ศิลปศาสตร์ ศิลปินและผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้วาดรูปโมนาลิซ่า ไมเคิล แองเจลโล ผู้ปั้นรูปปั้นเดวิด ซึ่งเชื่อว่าเป็นชายที่มีสัดส่วนสมบูรณ์ที่สุดในโลก ราฟาเอล ผู้กำกับการสร้างและตกแต่ง มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เป็นต้น

เทคโนโลยี เทคโนโลยีที่สำคัญคือ เทคโนโลยีการต่อเรือ โดยชาติที่เป็นผู้ริเริ่มคือ โปรตุเกส และ สเปน ซึ่งทำให้การติดต่อค้าขายกับเอเชียสะดวกขึ้น วิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น เซอร์ไอแซก นิวตัน ผู้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วง เป็นต้น ตัวอย่างศิลปะแบบเรอเนสซองซ์ในไทย เช่น พระราชวังพญาไท



ศิลปะเรอเนสซองซ์ (พ.ศ. 1940 - 2140) คำว่า "เรอเนสซองซ์" หมายถึง การเกิดใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกถึงศิลปะกรีกและโรมันในอดีต ซึ่งเคยรุ่งเรืองให้กลับมาอีก ศิลปะเรเนสซองซ์ไม่ใช่การลอกเลียนแบบจากอดีต แต่เป็นยุคสมัยแห่งการเน้นความสำคัญของลักษณะเฉพาะบุคคล มีความสนใจลักษณะภายนอกของมนุษย์ และ ธรรมชาติ เป็นแบบที่มีเหตุผลทางศีลธรรม ก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา" โดยมีรากฐานมาจากประเทศอิตาลี และแผ่ขยายไปยังดินแดนต่าง ๆ ในยุโรป
ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา วัดยังคงเป็นผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญของเหล่าศิลปินนอกจากนี้ยังมีพวกขุนนาง พ่อค้าผู้ร่ำรวย ซึ่งเป็นชนชั้นสูงก็ได้ว่าจ้าง และอุปถัมภ์เหล่าศิลปินต่าง ๆ ด้วย ตระกูลที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ได้แก่ ตระกูลวิสคอนตี และสฟอร์ซา ในนครมิลาน ตระกูลกอนซากาในเมืองมานตูอา และตระกูลเมดีชีในนครฟลอเรนซ์ การอุปถัมภ์ศิลปินนี้มีผลในการกระตุ้นให้ศิลปินใฝ่หาชื่อเสียง และความสำเร็จมาสู่ชีวิตมากขึ้น ผลงานของศิลปินที่มีทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ทำให้ชื่อเสียงของศิลปินหลายคน เป็นที่รู้จักทั่วโลกตลอดกาล เช่น ลีโอนาร์โด ดา วินชี มิเกลันเจโล ราฟาเอล สถานภาพทางสังคมของศิลปินเป็นที่ยอมรับกันอย่างสูงในวงสังคม เกิดสำนักทางศิลปะเพื่อฝึกฝนช่างฝีมือ และเกิดมีศิลปินระดับอัฉริยะขึ้นมาอย่างมากมาย และในยุคยุคฟื้นฟูศิลปวิทยานี้เอง ที่มีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นในประเทศเยอรมนีโดย โยฮันน์ กูเทนแบร์ก เป็นผู้ผลิตนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ทำให้ศิลปะการพิมพ์ได้เริ่มมีการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างจริงจัง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

Les fleurs


Les fleurs



bougainvillée (f) บู-แกง-วิล-เล ดอกเฟื่องฟ้า


chrysanthème (m) คริ-ซอง-แตม(เมอ) ดอกเบญจมาศ



dahlia (m) ดา-เลีย ดอกรักเร่




flamboyant (m) ฟลอง-บัว-ยอง ต้นหางนกยูง




frangipane (m) ฟรอง-ชิ-ปาน(เนอ) ดอกลั่นทม



jacinthe (f) ชา-แซ๊งต์ ดอกไม้ชนิดหนึ่ง




jacinthe d'eau (f) ชา-แซ๊งต์ โด (ดอก,ต้น) ผักตบชวา




jasmin (m) ชัส-แมง ดอกมะลิ



lis (lys) (m) ลิส ดอกว่านสี่ทิศ



lotus (m) โล-ตืส ดอกบัว



marguerite (f) มาร์-เกอ-ริต(เต) ดอกมาร์เกอริต


mimosa (m) มิ-โม-ซาม ดอกมิโมซา

nénuphar (m) เน-นือ-ฟาร์ ดอกบัวเผื่อน

oeillet (m) เอย-เย่ ดอกคาร์เนชั่น


orchidée (m) ออร์-คิ-เด ดอกกล้วยไม้


rose (f) โรส(เซอ) ดอกกุหลาบ


tournesol (m) ตูร์-เนอ-ซอล ดอกทานตะวัน




tulipe (f) ตือ-ลิป(เปอ) ดอกทิวลิป



violette (f) วิ-โอ-แลต(เตอ) ดอกไวโอเลต

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Rue de Siam

Rue de Siam




" Rappelle-toi BarbaraIl pleuvait sans cesse sur Brest ce jour-làEt tu marchais sourianteEpanouie ravie ruisselanteSous la pluieRappelle-toi BarbaraIl pleuvait sans cesse sur BrestEt je t'ai croisée rue de Siam… "
Jacques PREVERT " Barbara "
Rue de Siam, célébrée par Prévert, chère au cœur des marins qui l'arpentent, fringants dans leur uniforme, gantés, la tête haute… Mais d'où peut-il bien lui venir, ce nom de Siam à la résonance asiatique, elle qui touche l'extrémité de la Bretagne ? Je vais vous en conter l'histoire. Le 18 juin 1686, les vaisseaux " l'Oiseau " et " la Maligne " amènent à Brest trois ambassadeurs du roi de Siam, accompagnés de six mandarins et d'une nombreuse suite. Les ambassadeurs apportent à Louis XIV de somptueux présents ainsi qu'une lettre du roi de Siam. Louis XIV, qui voulait, en les faisant venir à Paris par terre, rendre plus fastueuse et plus éclatante la mission dont ils étaient chargés, avait envoyé, pour les accompagner, deux gentilshommes de sa chambre. Partout où ils passèrent, les villes ouvraient leurs portes avec un pompeux empressement, partout la foule se pressait pour les voir. Cet événement émerveilla à ce point les Brestois qu'ils débaptisèrent la rue Saint-Pierre qu'empruntèrent les ambassadeurs pour se rendre à l'hôtel du même nom (l'ancienne Préfecture maritime), lui donnant le nom de RUE DE SIAM qu'elle a conservé depuis lors.

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

VANGOGH VINCENT




Ses peintures

Au fil de son œuvre, Van Gogh aborde les différents styles et techniques de son époque. Il commence par le réalisme de Millet et les tons sourds de sa terre natale pour se rapprocher peu à peu de tons clairs des impressionnistes en tentant de percer le secret de la lumière, des atmosphères, de cette heureuse collaboration de l'œil et du pinceau qui transpose sur la toile les sensations visuelles. Dans le même temps, il essaie de se plier à la discipline scientifique des pointillistes. Poussant toujours plus loin ses recherches, par exemple en posant la couleur directement à partir du tube ou en peignant la nuit, Vincent trouve peu à peu son style, fait de force et de rapidité d'exécution.

Les travaux de Van Gogh ne sont signés que de son prénom, du lapidaire "Vincent". Ainsi, cherche-t-il à se distancier de ses origines de petits bourgeois et révéler le pur et véritable individu que le prénom représente.


วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันชาติฝรั่งเศส











***สนุกสนาน เริงร่า ทั้งวัน เอารูปมาโชว์กันหน่อยก็ดีเนอะ***









วันนี้วันชาติฝรั่งเศส เราแทบไม่เป็นอันเรียนเพราะอยากโชว์การแสดงมากมาย




อาจารย์ตัวสู๊ง สูง แต่เราก็อยากถ่ายรูปด้วย





เราอยากถ่ายรูปกับชาร์ม เลยยกกันไปขอถ่ายกันทั้งขบวน


พวกเราขึ้นไปร้องเพลงด้วยความรู้สึกแปลกๆกัน เห็นไหม หุหุ




ภาพนี้ไปขออาจารย์มนัสเป็นดาราหน้ากล้องเป็นเพื่อน


ขอถ่ายรูปกับอาจารย์สุดหล่อ อิอิ

++++++++++ยังมีรูปที่ยังไม่ได้ลงอีกมากมาย ชมกันเท่านี้พอกับแกล้มไปก่อนนะคะ บ๊ายบาย++++++++

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ประเดิมบล็อกแรก


บล็อกแรกของพวกเรา ฝากรูปภาพแปะไว้เฉยๆดีกว่า